เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีกระแสระอุในโลกโซเชียลฯ อีกครั้งเกี่ยวกับการนำน้ำแข็งเก่ากลับมาใช้ใหม่พร้อมเสิร์ฟให้ลูกค้าคนถัดไปแถมใช้หลอดซ้ำอีกด้วย เรื่องนี้ไม่รู้จริงเท็จอย่างไร แต่ประเด็นคำถามที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของอันตรายต่อร่างกายนั้น รุนแรงระดับไหนอย่างไร คือเรื่องที่เราจะมาพูดกันในครั้งนี้
จากข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องสารปนเปื้อนในอาหาร ถือเป็นปัญหาลำดับต้นๆ ในสังคมไทย ที่ผ่านมาพบว่าอาหารไม่สะอาดนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บได้
โดยการปนเปื้อนในอาหารสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- การปนเปื้อนทางเคมี ยกตัวอย่างการปนเปื้อนทางเคมี มักเกิดจากการใช้สารเคมี เช่น การใช้สารบอแรกซ์ สารฟอร์มาลีน เป็นต้น
- การปนเปื้อนทางจุลินทรีย์ ส่วนการปนเปื้อนทางจุลินทรีย์นั้น มักเกิดจากสุขลักษณะการผลิตไม่ดี
- การปนเปื้อนทางกายภาพ ในส่วนของการปนปื้อนทางกายภาพ มักเกิดจากสิ่งแปลกปลอมที่เจือปนเข้ามา เช่น มีเส้นผมปนเข้ามาในอาหาร เป็นต้น
อย่างเช่นการนำน้ำแข็งเก่ากลับมาใช้ใหม่รวมทั้งมีการใช้หลอดซ้ำ อาจมีโอกาสปนเปื้อนในอาหารทั้งทางจุลินทรีย์และทางกายภาพ
ทั้งนี้กับคำถามที่ว่าอันตรายจากการปนเปื้อนในอาหารนั้นอยู่ในระดับไหน
- การใช้สารเคมี เช่น สารฟอร์มาลีน หรือสารดองศพที่หลายคนรู้จักกัน สารนี้อาจฟังดูน่ากลัว แต่ในขณะเดียวกันฟอร์มาลีนก็สามารถพบได้ตามธรรมชาติ อย่างเช่น ในเห็ดหอมที่พบว่ามีฟอร์มาลีนอยู่จำนวนไม่น้อย การทานครั้งแรกไม่ได้ทำให้ร่างกายแสดงอาการทันที หรือไม่ได้ส่งผลเฉียบพลัน แต่อันตรายจากการปนเปื้อนในอาหารทางเคมีจะมาจากการสะสมของสารพิษ ซึ่งจะส่งผลเสียในภายหลัง เช่น การทานอาหารที่ปนเปื้อนสารบอแรกซ์มากๆ อาจทำให้เกิดโรคไตวาย เป็นต้นวิธีหลีกเลี่ยงคืออย่าทานอาหารเดิมๆ ซ้ำซากจำเจ แต่ควรทานให้หลากหลาย จะช่วยลดการสะสมสารพิษได้
- การปนเปื้อนทางจุลินทรีย์ จะทำให้ร่างกายเกิดโรคอุจจาระร่วงได้ หรือโรคอื่นๆ ตามมา
- การปนเปื้อนทางกายภาพ จัดว่าไม่น่ากลัว เพียงแต่จะได้ของแถมมาในอาหาร ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทานที่ไม่ถูกสุขลักษณะเท่าที่ควร
ข้อมูลจาก
คุณจารุวรรณ ลิ้มสัจจะสกุล
ผู้อำนวยการสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข
คลิกชมคลิปรายการ “รายการพบหมอรามา Big story สารปนเปื้อนในอาหาร” ได้ที่นี่
YouTube: https://youtu.be/KzNgIYZlQyg