ลอกผิวขาว “สวยบนความเสี่ยง”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆ คนอยากมีผิวที่ขาวใส เกิดจากค่านิยมและแฟชั่นในปัจจุบันที่ว่า “ขาว คือ สวย” ซึ่งค่านิยมเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิดที่หลายคนจะคิด แต่หากความขาวสวยที่ต้องแลกมาด้วยการใช้สารเคมีอันตราย และสะสมเป็นจำนวนมากในร่างกาย คงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไรนัก
ความนิยมเรื่องผิวขาวในวัยรุ่นปัจจุบันเริ่มมีจำนวนมากขึ้น
โดยถูกปลูกฝังจากสื่อโฆษณา ละครทีวี ดาราดังที่ตนชื่นชอบ จนทำให้หลายๆ คนอยากจะมีผิวที่ขาวสวย ส่งผลให้มีผลิตภัณฑ์ที่เน้นเรื่องการบำรุงผิวขาวออกมาจำหน่ายมากมาย หลายยี่ห้อผสมกรด AHA หรือกรดผลไม้ ซึ่งเป็นสารที่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ว่าใช้ผลัดเซลส์ผิวให้ดูกระจ่างใสได้ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ผิวขาวสมใจมากนัก เพราะอะไรที่เป็นธรรมชาติดูเหมือนจะให้ผลช้าไม่ทันใจ จึงทำให้เกิด “ครีมลอกผิวขาว” ซึ่งอวดอ้างสรรพคุณต่างๆ เกินจริงออกมามากมาย
ส่วนใหญ่ของครีมลอกผิวขาวหรือน้ำยาลอกผิวขาวนั้น จะประกอบไปด้วย
สารฟอกขาว, กรดไตรคลออะซีติค (Trichloroacetic : TCA), กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ที่มีส่วนผสมสูงเกินมาตรฐานทางการแพทย์ ทำให้เกิดผิวแห้ง แสบ ไหม้ อย่างรุนแรง ก่อนที่จะลอกออกมาเป็นแผ่นๆ นอกจากนี้ยังมียาชาผสมอยู่ด้วยเพื่อไม่ให้ผู้ใช้รู้สึกแสบเวลาลอกผิว รวมถึงสารปรอท สารไฮโดรควีโนน และสารเคมีอันตรายอื่นๆ ด้วย
เมื่อเราใช้น้ำยาลอกผิวในปริมาณมากเป็นระยะเวลานานๆ จะถูกสะสมในร่างกายและเกิดอันตรายต่อผิวพรรณได้ ดังนี้
- ผิวบางลงจนไม่สามารถทนแดดได้ อีกทั้งยังส่งผลให้ผิวหมองคล้ำกว่าเดิม
- ผิวบางลงจนไม่สามารถทนสารเคมีในชีวิตประจำวันได้ เช่น ผังซักฟอก น้ำยาล้างจาน
- หน้าแห้งและอาจทำให้เป็นฝ้ามากขึ้น ซึ่งจะเห็นผลนี้ในระยะยาว เนื่องจากการลอกผิวบ่อยๆ จะทำให้ระบบน้ำเหลืองในร่างกายบริเวณนั้นๆ เกิดความเสียหาย
- ส่งผลต่อกระดูกในระยะยาว เนื่องจากสารเคมีในน้ำยาลอกผิวขาวทำให้กระดูกผุกร่อนมากขึ้น
- สารปรอทที่ผสม ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้
- สารไฮโดรควีโนน ทำให้เกิดด่างขาวหรือผิวคล้ำจากการสะสมของยา
ผิวที่ดีนั้น ไม่ใช่ผิวที่ขาวสวยเพียงอย่างเดียว แต่คือผิวที่มีสุขภาพดีเป็นธรรมชาติและปกป้องร่างกายของเราได้ด้วย
ข้อมูลจาก
อ. พญ.สุธินี รัตนิน
ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล