มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน โรคอันตรายเป็นได้ทุกวัย
จากข่าวของหญิงสาวรายหนึ่งที่มีผื่นขึ้นเต็มขา ซึ่งคิดว่าเป็นเพียงผื่นธรรมดาแต่เมื่อแพทย์วินิจฉัยออกมากลับพบว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน ซึ่งถือเป็นโรคที่ร้ายแรงมากอีกชนิดหนึ่ง โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กินนั้นเป็นอย่างไรมาค้นหาคำตอบกัน
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin’s lymphoma) หรือ โรคฮอดจ์กิน (Hodgkin’s disease)
เป็นมะเร็งชนิดที่เกิดจากการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเม็ดเลือดขาวที่อยู่ในระบบน้ำเหลืองของร่างกาย และสามารถแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆ
โดยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กินนี้พบได้ประมาณ 12% ของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งหมด แต่จะพบได้น้อยมากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี และพบมากในช่วงอายุ 15-35 ปี และอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป เด็กผู้ชายมีโอกาสเป็นมากกว่าเด็กผู้หญิงประมาณ 3 เท่า ส่วนวัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่จะมีโอกาสเกิดโรคในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่า
ปัจจัยที่ทำให้เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน ดังนี้
- อายุ ยิ่งอายุเยอะโอกาสที่จะเป็นก็เพิ่มมากขึ้น
- เพศ ผู้ชายจะเป็นมากกว่าผู้หญิง
- การติดเชื้อ เช่น HIV
- การติดเชื้อไวรัส EBV
- ภาวะภูมิคุ้มกันโรคบกพร่อง เช่น โรคพุ่มพวง
- หากมีพี่น้องหรือญาติที่เป็นโรคนี้ก็จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคนี้
โดยอาการที่อาจจะบ่งชี้ว่าเราเป็นมะเร็งชนิดนี้หรือไม่นั้น ได้แก่
- มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 3 วันติดต่อกันโดยไม่มีสาเหตุ
- เหงื่อออกชุ่มตัวตอนกลางคืน โดยไม่มีสาเหตุ
- เบื่ออาหารน้ำหนักลดตั้งแต่ 10 % ขึ้นไปในช่วงระยะเวลา 6 เดือนที่มา
- อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอาการที่ไม่อาจทำให้คนส่วนใหญ่นึกโยงไปถึงมะเร็งมากนัก เนื่องจากเป็นอาการที่ไม่จำเพาะที่ใครก็สามารถเป็นได้
ระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน
- ระยะที่ 1 มีต่อมน้ำเหลืองโตเพียงกลุ่มเดียวที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น ที่คอด้านขวาที่เดียว
- ระยะที่ 2 มีต่อมน้ำเหลืองโต 2 กลุ่ม หรือมากกว่า แต่ต้องเป็นในกลุ่มต่อมน้ำเหลืองที่อยู่เหนือหรือใต้กระบังลมเหมือนกัน เช่น ที่คอและรักแร้ ซึ่งอยู่เหนือกระบังลม
- ระยะที่ 3 มีต่อมน้ำเหลืองโต 2 กลุ่ม หรือมากกว่าทั้งที่อยู่เหนือและอยู่ใต้กระบังลม เช่น ที่คอ ร่วมกับที่ขาหนีบ
- ระยะที่ 4 ระยะที่โรคแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่ออวัยวะอื่นๆ เช่น ไขกระดูก ตับ ปอด และสมอง
ขณะที่แนวทางการรักษานั้นมีอยู่หลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับระยะของโรค อายุ และสภาพของบุคคลว่าพร้อมหรือไม่
โดยการรักษาจะมี 3 วิธีการคือ
- ทำคีโม
- ฉายรังสี
- ปลูกถ่ายไขกระดูก
ข้อมูลจาก
ศ. พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล
ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล