9ปาฏิหาริย์ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย
หน้าแรก
ปาฏิหาริย์ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย รอดตายเพราะเหตุใด?
ปาฏิหาริย์ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย รอดตายเพราะเหตุใด?

เรื่องราวของผู้ป่วยรายหนึ่งที่รอดชีวิตจากมะเร็งระยะสุดท้ายราวปาฏิหาริย์ อาการของเขาเริ่มต้นจากการยกแขนไม่ขึ้น และคิดว่าเป็นการปวดเมื่อยธรรมดา แต่เมื่อพบแพทย์กับตรวจเจอเนื้อร้ายที่แขนภายในกระดูก กระทั่งพบว่าเป็นมะเร็งจากที่ไตลามมาที่แขน โดยในทางการแพทย์พบว่าการเป็นมะเร็งในระยะแพร่กระจายมาถึงกระดูกมีความอันตราย และโอกาสในการรักษาเป็นไปได้ยาก ในสมัยก่อนภาษาชาวบ้านเรียกระยะนี้ว่าระยะทำใจ

ในผู้ป่วยคนดังกล่าวหลังจากทำการผ่าตัดนำไตออก ก็มารักษาที่บริเวณแขนโดยการดามเหล็ก เนื่องจากกระดูกพรุนไปหมดแล้ว และหลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตตามปกติ มีอารมณ์ปกติเหมือนคนทั่วไป และเพราะยังไม่รู้จักว่ามะเร็งคืออะไร ต้องรักษาอย่างไร และน่ากลัวแค่ไหน จึงเผลอเครียดไปกับอาการป่วย โดยหารู้ไม่ว่าความเครียดนี่แหละ เป็นบ่อเกิดขั้นสุดยอดที่ทำให้มะเร็งลุกลามจากไตไปที่สมอง ส่งผลให้ภายหลังพบเนื้อร้ายในสมองอีก 5 เม็ด โดยเม็ดใหญ่ที่สุดมีขนาด 2.75 เซนติเมตร ทั้งยังมีเลือดออกในสมองทำให้เป็นโรคสมองบวมอีกด้วย ขณะนั้นผู้ป่วยเป็นมะเร็งทั้งที่ไต ที่กระดูก และยังลามมาที่สมองอีก ทำให้โอกาสรอดนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะอวัยวะทั้งหมดล้วนเป็นอวัยวะที่สำคัญ

แต่ไม่น่าเชื่อเมื่อในภายหลังผู้ป่วยกลับมีอาการดีขึ้น อันเนื่องมาจากยาจำเพาะต่อตัวมะเร็งไตที่เป็นชนิดรับประทาน โดยยากลุ่มนี้เป็นยาลดการสร้างเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตัวมะเร็ง และตัวยายังสามารถเข้าไปในเนื้อสมองได้ดี ในระหว่างที่รอการฉายแสง ก็เริ่มทานยาเม็ด ซึ่งทานวันละ 2 ครั้ง ผลการตอบสนองเป็นไปด้วยดี เพราะหลังจากทานยาไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก็พบว่าอาการปวดหัวลดลงและแทบจะไม่ปวดเลย หลังจากรักษาไปประมาณ 2-3 เดือนและมีการเอ็กซเรย์ซ้ำก็พบว่าบริเวณที่พบก้อนเนื้อแทบจะไม่หลงเหลือเลย แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีขึ้น

นอกจากการทานยาแล้ว ตัวผู้ป่วยเองยังมีการปฏิบัติตัวที่ดีควบคู่กันโดยการปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทานยาตามที่แพทย์สั่ง และไม่ทานยานอกเหนือจากคำสั่งของแพทย์ผู้รักษา ที่สำคัญคือทางด้านจิตใจ ผู้ป่วยยังพยายามทำอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล ทำใจให้เย็น ไม่หงุดหงิด ไม่อารมณ์เสียแม้ในภาวะที่ถูกบรรดาลโทสะ พยายามเป็นคนคิดบวก พร้อมกับทำจิตใจให้สงบสุข

ขณะที่ผู้ป่วยรายนี้ป่วยเป็นมะเร็งในระยะที่ 4 ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายแล้ว และอยู่ได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น เขาลองทบทวนดูถึงสิ่งที่อยากทำและลงมือทำเสียก่อนที่จะไม่ได้ทำ อย่างเช่นการบวชทดแทนบุญคุณบิดา มารดา โดยระหว่างการบวชนั้นยังมีกิจกรรมในเรื่องของการนั่งสมาธิและกำหนดลมหายใจเข้าออก ซึ่งเป็นผลที่ดีกับโรคที่เป็นด้วย หลังจากนั้นเมื่อสึกออกมา และไปพบแพทย์ก็พบว่าก้อนมะเร็งนั้นเล็กลง

ไม่เพียงเท่านั้นผู้ป่วยยังทานยาตามแพทย์สั่งไม่ให้ขาด ซึ่งยาที่ทานนั้นเป็นยาที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และไม่ต้องทำคีโม เป็นยาที่รักษาเนื้อร้ายโดยตรง แต่มีผลข้างเคียงคือท้องเสีย ถ่ายท้องบ่อย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่จัดว่าไม่รุนแรง หากเปรียบเทียบกับการทำคีโมอื่นๆ แต่จะต้องปรับในเรื่องของอาหารการกินร่วมด้วย และนอกจากเรื่องของอาการท้องเสียแล้ว ยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ นั่นคือ ผมหงอกเป็นสีขาว และสีผิวจะขาวขึ้นด้วย

ยาที่กล่าวมาข้างต้นคือ

ยา Target therapy หมายถึง มะเร็งชนิดไหน ใช้ Target อะไร วิธีการพัฒนาตัวเองอย่างไรให้มันไม่สามารถลุกลามได้ เช่น มะเร็งปอดอาจเป็น Target ตัวหนึ่ง มะเร็งไตก็เป็น Target อีกตัวหนึ่งในการรักษา ซึ่งมะเร็งแต่ละชนิดก็จะมีการใช้ยา Target therapy ต่างกัน โดยยาชนิดนี้เป็นวิวัฒนาการใหม่ๆ ที่เพิ่งเกิดมา เมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมานี้เอง และสำหรับยา Target therapy นั้น บางตัวอาจจะเป็นแบบฉีดและบางตัวอาจจะเป็นแบบรับประทาน

ในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงว่ามะเร็งเกือบทุกชนิด จะสามารถรักษาได้ด้วยยา Target therapy เพราะในปัจจุบันมะเร็งชนิดที่รักษาได้ยากก็สามารถรักษาได้ด้วยยา Target therapy มาหลายชนิดแล้ว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าในวงการแพทย์ที่สำคัญ และทำให้มนุษย์มีอายุยืนมากขึ้น

สุดท้ายแล้วการดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้าย ประกอบไปด้วยปัจจัยต่างๆนั่นคือ

  • ปัจจัยแรกเกี่ยวกับการรักษาที่จำเพาะ และผู้ป่วยปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ผู้รักษาอย่างเคร่งครัด
  • ปัจจัยที่สองคือในด้านจิตใจ กำลังใจ ผู้ป่วยต้องสร้างกำลังใจที่ดีให้กับตนเองและพยายามทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใสอยู่เสมอ

 

ข้อมูลจาก
อ. นพ.ธัช อธิวิทวัส
สาขาวิชามะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล


คลิกชมคลิปรายการ “ปาฏิหาริย์ผู้รอดชีวิตจาก มะเร็งระยะสุดท้าย : พบหมอรามา ช่วง Big Story” ได้ที่นี่

บทความที่เกี่ยวข้อง