อยู่ ๆ ก็มีอาการ ปวดขมับ เหมือนโดนบีบขมับ หลายคนอาจจะคิดว่าก็เป็นอาการปวดหัวธรรมดาทั่วไป แต่รู้หรือไม่อาการแบบนี้อาจเสี่ยงเป็น โรคไต ได้ เนื่องจากอาการ ปวดศีรษะ เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยมากที่สุดในปัจจุบัน และสาเหตุของอาการก็มีหลากหลาย ดังนั้นหากมีอาการปวดขั้นรุนแรงต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยพร้อมการรักษาอย่างถูกวิธีโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ทั้งนี้ ยังมีสัญญาณเตือนของอาการปวดศีรษะที่ต้องเฝ้าระวัง หากมีอาการ ปวดขมับ หรือท้ายทอยอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคไตได้เช่นกัน วันนี้จะพามาสังเกตอาการกันว่าเมื่อปวดขมับหรือท้ายทอยแบบนี้จะเข้าข่ายเป็นโรคไตหรือไม่ ! แล้วเมื่อเป็น โรคไต อาการ จะเป็นอย่างไร ?
โรคไต เกิดจากอะไร ?
โรคไต เกิดจากภาวะของไตที่ทำงานผิดปกติ สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่โดยส่วนใหญ่มักพบในวัยผู้สูงอายุ ซึ่งสาเหตุหลักของการเกิดโรค คือ การรับประทานอาหารรสจัด อย่างรสเค็มในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน ๆ เป็นความดันโลหิตสูง นอกจากนี้อาจเกิดจากสาเหตุภายนอกร่วมด้วย การดําเนินชีวิตประจําวันด้วยพฤติกรรมเดิม ๆ ไม่ออกกำลังกาย กินยาที่เป็นพิษต่อไต สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง พันธุกรรมที่ผิดปกติ และโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน เพราะฉะนั้น โรคไตถือว่าเป็นโรคหนึ่งที่ใครก็ไม่อยากเป็น มาดูกันว่ามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแบบไหนบ้างที่ทำให้เสี่ยงเป็นโรคไตโดยที่เราไม่รู้ตัว – สัญญาณเตือนโรคไต พฤติกรรมเสี่ยงที่ควรเลี่ยง !
5 สัญญาณอันตราย เมื่อ โรคไต ถามหา
สัญญาณเตือนเหล่านี้ เบื้องต้นอาจเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าอาจเสี่ยงเป็นโรคไตควรเฝ้าสังเกตอาการเพื่อสามารถเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
-
อาการ ปวดศีรษะ ในคนที่อายุน้อย
โดยปกติในคนที่มีอายุน้อยจะค่อนข้างมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง เนื่องจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและระบบการทำงานของร่างกายในส่วนอื่น ๆ ยังมีประสิทธิภาพที่ดีอยู่ แต่หากมีพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันที่บกพร่องและไม่ได้ประสิทธิภาพก็สามารถก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยหรือเป็นโรคได้ง่ายขึ้น ดังนั้น หากยังอายุน้อย แต่มีอาการปวดศีรษะอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่ใช้ชีวิตประจำวันปกติและไม่ได้เป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุของการเกิดโรคอื่น ๆ ให้เฝ้าระวังทันทีว่าอาจเป็นสัญญาณแรกเริ่มของการเป็นโรคไตได้
-
ปวดศีรษะบริเวณขมับหรือท้ายทอย
อาการปวดหัวแบบต่าง ๆ มีสาเหตุของการเกิดที่แตกต่างกันออกไป แต่หากตัวเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการปวดศีรษะในบริเวณขมับหรือท้ายทอยบ่อย ๆ ปวดแบบตุบ ๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเข้าข่ายการเป็นโรคไตได้เช่นกัน
-
ความดันเลือดสูงผิดปกติ
ผู้ป่วยโรคไต ส่วนใหญ่จะมีความดันเลือดสูงมากกว่าปกติ ซึ่งคนที่มีความดันเลือดสูงจะไม่แสดงอาการ แต่ในบางรายพบว่ามีอาการปวดหัวและเวียนหัวร่วมด้วย ดังนั้น ควรที่จะพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ และวัดความดันเลือดว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตยังเสี่ยงอันตรายต่อการเกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ ได้อีกด้วย
-
ปัสสาวะผิดปกติ
อาการของการปัสสาวะที่ผิดปกติ เช่น เมื่อปัสสาวะแล้วมีฟองมากเป็นพิเศษ หรือสีของปัสสาวะผิดปกติ ให้วินิจฉัยว่าระบบการทำงานของร่างกายผิดปกติซึ่งเป็นสัญญาณของการเกิดโรคได้
-
ร่างกายบวมและผมร่วง
อาการของผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตและสามารถสังเกตได้ชัดเจนมากที่สุดคือ ร่างกายมีอาการบวมผิดปกติโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า หลังเท้า ตามมาด้วยสัญญาณผมร่วงมากเกินไป หากเริ่มสังเกตว่าร่างกายมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้งและกินระยะเวลานานควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยทันที
สำหรับใครที่มีความสงสัยและกังวลว่าโรคไตกำลังจะมาเยือน สามารถเช็คความเสี่ยงด้วยตัวเองได้ที่แบบสอบถามนี้ – ติดกินเค็ม รสจัด เช็กด่วนคุณเสี่ยงเป็นโรคไตหรือยัง ?
อาการของ โรคไต เป็นอย่างไร
โรคไตทำให้เกิดการเสียสมดุลของเกลือ เมื่อคนไข้กินเค็มจะเกิดอาการบวมที่ขา กดบุ๋ม ปัสสาวะมาก ปัสสาวะเปลี่ยนสี ปัสสาวะมีฟองมาก ปัสสาวะมีสีแดง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง คลื่นไส้ อาเจียน ความดันเลือดสูง โลหิตจาง ผมร่วง ผิวแห้ง หากเป็นโรคไตระยะสุดท้าย ไตจะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ คนไข้จะเกิดอาการอวัยวะล้มเหลว ชัก น้ำท่วมปอด หัวใจวาย เสียชีวิตได้ สำหรับ โรคไต อาการ สามารถแบ่งออกได้ 2 ระยะหลัก ๆ ได้แก่
-
โรคไตอาการเริ่มต้น
อาการของผู้ป่วยโรคไตระยะแรก มักมีอาการ ดังนี้
- ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- เหนื่อยง่ายมากกว่าปกติ
- บางรายอาจมีอาการน้ำหนักลดลงผิดปกติ
- ผิวหนังแห้งซีดและมีจ้ำเลือดตามร่างกาย
- เบื่ออาหาร และคลื่นไส้อาเจียน
- มือเท้าชา ปวดบริเวณบั้นเอว
- ปวดศีรษะบริเวณขมับหรือท้ายทอย
- ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
-
โรคไตระยะสุดท้าย
อาการของผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายมีอาการ ดังนี้
- ปัสสาวะลดน้อยลงหรือแทบไม่ปัสสาวะเลย
- เลือดออกหรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
- หายใจเองลำบาก
- กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
- ปอดบวมและไอหรืออาเจียนเป็นเลือด
- มีอาการชักหรือหมดสติบ่อยครั้ง
- กระดูกแตกหักได้ง่าย
- เลือดหยุดไหลยาก เนื่องจากการทำงานของระบบเลือดผิดปกติ
- มีอาการติดเชื้อหรือเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมีอาการที่ควรสังเกตุว่าเสี่ยงเป็นโรคไตหรือไม่ สามารถรับชมความรู้เพิ่มเติมได้ที่ – อาการแบบนี้ เสี่ยง ! เป็นโรคไต
และยังมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับอาการของโรคไตที่อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ เพราะฉะนั้น มาดูกันว่าอาการโรคไตความเชื่อไหนผิด ความเชื่อไหนถูกบ้าง ได้ที่ – อาการโรคไต เรื่องไหนจริงหรือหลอก ?
โรคอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุของโรคไต
โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคทางพันธุกรรม โรคถุงน้ำในไต รวมทั้งการกินยา เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบบางชนิดที่มีพิษต่อไต โดยเฉพาะยาแก้ปวดข้อเอ็นต่าง ๆ
ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงโรคไต
-
กินอาหารเค็มจัด อาหารหวานจัด
อาหารเค็มทำให้เกิดความดันเลือดสูง ไตทำงานหนัก ในระยะยาวทำให้เกิดโรคไตเสื่อมเรื้อรังได้ เช่น อาหารที่มีผงชูรส เครื่องปรุงต่าง ๆ พริกน้ำปลา น้ำจิ้ม แจ่ว น้ำซุป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมกรุบกรอบ อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน ส่วนอาหารหวานอาจทำให้เกิดโรคเบาหวาน ส่งผลให้หลอดเลือดและไตเสื่อมได้
-
ไม่ออกกำลังกาย
คนที่มีน้ำหนักเกินจะมีความดันเลือดสูง ไตจึงทำงานหนัก
-
สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
ทำให้เกิดความดันเลือดสูงและหลอดเลือดเสื่อมได้
-
กินยาที่มีพิษต่อไต
ยาบางชนิดไม่ว่าจะเป็นยาไทย ยาจีน ยาฝรั่ง ยาชุด ยาหม้อ อาหารเสริม อาจมีพิษต่อไตได้ ฉะนั้น คนไข้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการกินยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคไตในระยะยาว
วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วย โรคไต
โรคไตหากเป็นมาจนถึงระยะเรื้อรังแล้วอาจไม่สามารถทำการรักษาให้หายขาดจากโรคได้แต่สามารถประคองและรักษาให้อาการดีขึ้นได้ ขึ้นอยู่ที่คนไข้ดูแล และรักษาสุขภาพร่างกายของตัวเองได้ดีแค่ไหน ทั้งนี้วิธีการดูแลตัวเองหรือคนรอบข้างเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคไต สามารถทำตามได้ ดังนี้
- ใส่ใจในเรื่องอาหารการกินมากขึ้น ไม่รับประทานอาหารรสจัดเป็นประจำ
- ไม่ควรหายามารับประทานเองอย่างเด็ดขาด ควรอยู่ในการดูแลและคำแนะนำของแพทย์เป็นหลัก
- หากมีโรคแทรกซ้อนควรระมัดระวัง และควรทราบถึงวิธีการดูแลอาการของโรคเหล่านั้น
- รักษาความสะอาดของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสของการติดเชื้อ
- รู้จักเฝ้าสังเกตความผิดปกติของร่างกาย หากพบว่ามีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์
- ไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง
การดูแลเบื้องต้นเหล่านี้สามารถทำได้ง่าย ๆ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไต เพื่อหลีกเลี่ยงและลดอัตราการป่วยที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสามารถบรรเทาการเกิดโรคแทรกซ้อนและส่งผลให้อาการของโรคดีขึ้นได้
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตควรได้รับการรักษาและทราบถึงวิธีรักษาโรคไตอย่างถูกต้อง นอกจากนี้การรักษาที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด คือการเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เช่น แพทย์เฉพาะทางหรืออายุรแพทย์โรคไต
การเข้ารับรักษาในโรงพยาบาลที่มีประสิทธิภาพก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างดีมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงสิ่งสำคัญอย่างการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ดูแลอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูและดีขึ้นในที่สุด
ข้อปฏิบัติสำหรับคนไข้โรคไต
- คนไข้ระยะแรกต้องควบคุมโรคที่เป็นให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- กินยาที่หมอให้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ซื้อยากินเอง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- งดอาหารเค็มจัด โดยเฉพาะเครื่องปรุงรส น้ำพริก น้ำจิ้ม ของแปรรูป น้ำแกง อาหารกึ่งสำเร็จรูป
- กินอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ถั่วต่าง ๆ ควรกินน้อยกว่าคนปกติ 20% จะช่วยชะลอการเสื่อมของไตในระยะยาวได้
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเป็นโรคไตแล้ว หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และดูแลตัวเองดี อาจทำให้ไตทำงานดีขึ้น และไม่เกิดไตเสื่อม ไตวายในระยะยาวได้
ข้อมูลจาก
รศ. นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ
สาขาวิชาโรคไต
ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
อย่าลืมกดติดตามช่อง Rama Channel ที่น่าสนใจอีกมากมายได้ที่
Website Ramathibodi: https://www.rama.mahidol.ac.th/
Youtube: https://www.youtube.com/RamachannelTV
Facebook : https://www.facebook.com/ramachannel