การดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับการเคมีบำบัดแบบใดที่ถูกต้อง
ผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับการเคมีบำบัด จะต้องได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้น หรือลดผลข้างเคียงให้เหลือน้อยที่สุด และเป็นผลดีต่อการรักษา
เคมีบำบัดเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคมะเร็ง
โดยใช้ยาต้านมะเร็งเพื่อทำลายหรือควบคุมเซลล์มะเร็งให้มีขนาดเล็กลง พร้อมทั้งควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งไม่ให้โตขึ้นและยับยั้งการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ จุดประสงค์ของการทำเคมีบำบัดขึ้นอยู่กับระยะของโรค สามารถหวังผลให้หายขาดได้ในมะเร็งบางชนิดที่อยู่ในระยะเริ่มต้น เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งลำไส้ เป็นต้น
วิธีการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับการเคมีบำบัด
ก่อนอื่นทั้งตัวผู้ป่วยเองและผู้ดูแลจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นหลังการทำเคมีบำบัด เพื่อทำการเฝ้าระวังและจัดการให้ถูกต้องเหมาะสม เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน ที่ผู้ป่วยจะต้องเข้าใจก่อนว่าสามารถเกิดขึ้นได้และเกิดเพียงชั่วคราวเท่านั้น หลังการรักษาหรือเลิกรับประทานยาที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าว ผลข้างเคียงเหล่านั้นก็จะหายไปเอง หากเป็นมากสามารถไปรับยาแก้อาการคลื่นไส้จากแพทย์ได้อีกด้วย
วิธีการดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารับการเคมีบำบัด
- ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- ผู้ป่วยควรเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น และมีกำลังใจเสมอ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- รับประทานอาหารสุกสะอาดเสมอ
- เมื่อมีไข้ต้องรีบพบแพทย์ ไม่ควรรับประทานยาลดไข้เอง
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการทำเคมีบำบัด
ผลข้างเคียงที่เกิดจากเคมีบำบัดนั้นเกิดจากการที่ตัวยาไปทำลายเซลล์มะเร็ง ทำให้มีผลกับเซลล์ปกติด้วย โดยเซลล์ปกติมีด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดแบ่งตัวเร็ว และชนิดที่ไม่ได้แบ่งตัวเร็ว โดยเซลล์ที่ได้รับผลกระทบจะเป็นเซลล์ชนิดแบ่งตัวเร็ว เช่น เซลล์รากผม เซลล์เม็ดเลือด เซลล์เยื่อบุในช่องทางเดินอาหารตั้งแต่ปากถึงทวารหนัก
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจะเกิดเพียงชั่วคราวและฟื้นตัวได้เร็ว เมื่อหยุดการรักษาร่างกายก็จะกลับมาเป็นปกติ เช่น ผมที่เคยร่วงก็จะกลับมาขึ้นเป็นปกตินั่นเอง โดยผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นนั้นยังขึ้นอยู่กับชนิดของยา พบว่ายาบางตัวในการทำเคมีบำบัดก็ไม่ได้ทำให้ผมร่วง โดยส่วนมากยาที่ทำให้ผมร่วง คือ ยารักษามะเร็งเต้านม
ผลข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดที่พบบ่อย
- คลื่นไส้และอาเจียน
- ผมร่วง
- อาการเจ็บปากหรือเจ็บคอ
- ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด
- ไม่อยากอาหาร
- น้ำหนักลด
ในช่วงที่มีการทำเคมีบำบัด ตัวยาจะกดการสร้างเม็ดเลือด ทำให้เม็ดเลือดลดน้อยลง ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำลง และติดเชื้อได้ง่ายขึ้น โดยภาวะติดเชื้อของผู้ป่วยเมื่อได้รับยาเคมีบำบัดจะเกิดช่วง 1-2 สัปดาห์หลังเข้ารับการรักษา ผู้ดูแลและตัวผู้ป่วยเองต้องระมัดระวังในเรื่องของอาหารการกินเป็นพิเศษ ต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และอาหารต้องสุกสะอาด หากมีไข้ต้องรีบพบแพทย์ ไม่ควรรับประทานยาลดไข้เอง ทั้งนี้อาการดังกล่าวจะมีผลต่อเซลล์เยื่อบุทางเดินอาหารทั้งหมด ทำให้มีอาการเจ็บปาก ร้อนใน ท้องเสีย จำนวนเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ อาจทำให้เกิดภาวะซีดในคนไข้บางราย
อาการที่ควรระวังหลังการให้เคมีบำบัด
- บริเวณแขนข้างที่ได้รับยาเคมีบำบัด มีอาการบวม แดง แสบ หรือดำคล้ำ
- มีแผลหรือมีเชื้อราในช่องปากและลำคอ
- มีอาการคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง ร่วมกับมีอาการท้องเสีย
- ปัสสาวะมีเลือดปน เจ็บเวลาปัสสาวะ
- มีอาการหน้ามืด ใจสั่น แน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ ปวดศีรษะอย่างรุนแรงและสูญเสียการทรงตัว
- ซึมลง ชัก หรือมีอาการเกร็งผิดปกติ
- มีไข้สูงมากกว่าหรือเท่ากับ 38 องศาเซลเซียส
- มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ท้องผูกหรือท้องเดินอย่างรุนแรง
- น้ำหนักลดหรือเพิ่มอย่างรวดเร็ว
- เลือดออกง่ายหรือไหลไม่หยุด อาจมีจุดเลือดบริเวณผิวหนังหรือมีผื่นขึ้นตามตัว
ข้อมูลจาก
คุณสุวรรณี สิริเลิศตระกูล
พยาบาลชำนาญการพิเศษและผู้ปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูง (APN)
สังกัดฝ่ายการพยาบาล
โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล