WHEN THE PERSPECTIVE HAS CHANGED: MUSIC THERAPY IN THE MEDICAL SCHOOL
เมื่อมุมมองเปลี่ยนไป: ดนตรีบำบัดในโรงเรียนแพทย์
รามาธิบดีเป็นที่แรกและที่เดียวในประเทศไทยในขณะนี้ที่เปิดวิชาเลือกปฏิบัติเสรี “ดนตรีบำบัดในทางการแพทย์” (Elective MT) หรือ “Music Therapy in Medicine” สำหรับแพทย์ และผู้สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้อย่างเป็นระบบ โดยมีระยะเวลา 1 เดือน และไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมง โดยเปิดรับผู้สนใจตั้งแต่ปี 2563 และยังมีการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาแพทย์บ้างเป็นบางกรณีซึ่งจะได้เรียน 1 คาบ ครึ่งวัน ยกเว้นแต่จะเป็นการขอมา shadow หรือ extern ที่ขอมาเรียนรู้ดนตรีบำบัดโดยตรง
วิชาเลือกปฏิบัติเสรี “ดนตรีบำบัดในทางการแพทย์” ได้รับคัดเลือกให้จัดแสดงผลงานวิชาการในรูปแบบ e-poster ในงานประชุมวิชาการนานาชาติ World Congress of Music Therapy ครั้งที่ 17 ซึ่งจัดขึ้น ณ เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ในช่วงเดือน กรกฎาคม 2563 ซึ่งก่อนหน้านี้ยังได้ทำการศึกษาวิจัยผลของหลักสูตรด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกไปก่อนล่วงหน้าแล้วโดยนักศึกษาปริญาโทดนตรีบำบัดในระหว่างการมาฝึกปฏิบัติทางคลินิก (internship) จนได้หลักฐานเชิงประจักษ์ชิ้นหนึ่งมาทำให้ได้เห็นภาพรวมของมุมมองของแพทย์จากการมาเรียน Elective MT ที่รามาธิบดี
การศึกษา in depth interview ของเรืออากาศเอกหญิงปริตา ในหัวข้อ PHYSICIANS’ EXPERIENCES AND PERSPECTIVES ON THE USE OF MUSIC THERAPY IN FAMILY MEDICINE AT RAMATHIBODI HOSPITAL ให้ข้อสรุปแล้วว่าการมาเรียน Elective MT ทำให้แพทย์ประจำบ้านจากหลายสาขา ทั้งจิตเวช เวชศาสตร์ครอบครัว และ specialty อื่น ๆ ได้อะไรกลับไปบ้าง
1. ประสบการณ์ของแพทย์ในการใช้ดนตรีบำบัด
1.1 เปลี่ยนมุมมองและความเข้าใจต่อดนตรีบำบัดไปอย่างสิ้นเชิง
1.2 เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน (ความนึกคิดและจิตใจ) ตนเอง
1.3 การได้เห็น positive outcomes ของดนตรีบำบัดทำให้แน่ใจในผลของดนตรีบำบัด
1.4 สามารถปรับเปลี่ยนองค์ความรู้ดนตรีบำบัดไปใช้ในงานตัวเองได้จริง
2. มุมมองของแพทย์ต่อนักดนตรีบำบัด
2.1 ประทับใจใน clinical skill ของ MT
2.2 รู้ว่านักดนตรีบำบัดสนับสนุนทีมและทำงานกับทีมได้แบบใด
3. มุมมองของแพทย์ต่อการใช้ดนตรีบำบัดในโรงพยาบาล
3.1 ดนตรีบำบัดคือ complementary care ที่สามารถเป็น intervention หลักได้ในหลายกรณี
3.2 ดนตรีทำให้ทราบและเข้าใจถึงความรู้สึกของคนไข้ได้อย่างดี
3.3 ดนตรีบำบัดมีประโยชน์ที่หลากหลายมากสำหรับคนไข้ ไม่ใช่แค่เรื่องทางจิตใจเท่านั้น
3.4 เวชศาสตร์ครอบครัวเป็นที่บ่มเพาะที่ดีของนักดนตรีบำบัดและเป็นที่ที่เหมาะจะเริ่มต้น เพราะความหลากหลายของเคสที่ต้องเจอ
3.5 กิจกรรมดนตรีบำบัดแบบ Active กับบริบทคนไข้ไทย พบว่าแม้คนไทยจะยากในการ Active แต่กลับเป็น method ที่ให้ประโยชน์สูงกว่า
4. อุปสรรคในการใช้ดนตรีบำบัดในโรงพยาบาล
4.1 ขาดแคลนนักดนตรีบำบัดที่มีความเชี่ยวชาญในโรงพยาบาล (Medical Music Therapist)
4.2 ความเข้าใจของแพทย์ต่อดนตรีบำบัดส่งผลต่อโอกาสในการรับบริการของผู้ป่วย
หลายวิชาใน Music Therapy ที่ครูเมสอนให้แพทย์ และ intern MT เป็นการทำความเข้าใจตนเองก่อนที่จะเข้าใจคนไข้ ตามหลักการเวชศาสตร์ครอบครัวทำให้การดูแลคนไข้เป็นแบบ “Patient care not (only) disease care” เพราะใช้การ patient-centered care และ holistic care
ข้อสรุปในภาพรวม: เกิดอะไรขึ้นหลังจบการเรียน
1. เกิดความเข้าใจในตัวเองในมุมมองใหม่: การมาวนเรียนวิชาดนตรีบำบัดในทางการแพทย์ ผู้เรียนจะมีผลพลอยได้เป็นได้ self-growth, self-concept ใหม่กลับไป แถม self-care strategies นิดหน่อย
2. ประสบการณ์ดนตรีใหม่: เข้าใจดนตรีในแบบใหม่ เพราะได้รับประสบการณ์ทางดนตรีใหม่ การเข้ามาเรียนดนตรีบำบัดเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เรียนรู้เรื่องดนตรี ทำให้บางคนกลับไปเล่นดนตรี
3. มุมมองใหม่ต่อดนตรีบำบัด: ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับดนตรีบำบัด และการใช้ดนตรีในบริบทอื่น ข้อบ่งใช้ และความเสี่ยง ทำให้ระวังในการใช้งานและเข้าใจการใช้งานมากขึ้น
สรุปให้สั้นลงไปอีกคือ การมาเรียน Elective MT
1. ส่งผลต่อสุขภาพใจของผู้เรียน
2. ทำให้ได้ทักษะทางดนตรีเพิ่ม
3. เข้าใจดนตรีบำบัดได้อย่างลึกซึ้ง
4. แยกแยะ modality ของดนตรีใน medicine ทราบ indication ในการส่งปรึกษาและประเมินคัดกรองเป็น