.....
"เป็นเคสมาตามนัดครับอาจารย์ แต่ผมเห็นหน้าตาคนไข้ดูเศร้ามากเลย"
น้องแพทย์ประจำบ้านปรึกษาเคสคนไข้เพศหญิงมาตามนัดความดัน ไขมัน เธอมีปัญหาเรื่องเงิน ต้องดูแลสามีที่พิการ ไปทำงานไม่ได้ และทะเลาะกับพี่น้องในครอบครัวทั้ง ๆ ที่อยู่บ้านเดียวกัน
"ผมจะช่วยเค้ายังไงดีครับ"
"พี่ก็ไม่รู้จะช่วยเค้ายังไงเหมือนกัน"
น้องได้ฟังคำตอบแล้วทำตาโต อาจจะคิดว่า อุตส่าห์คุยเป็นชั่วโมง เก็บรายละเอียดมาเล่าให้อาจารย์ฟัง แล้วทำไมอาจารย์ตอบกวนแบบนี้
"ไม่มีคำแนะนำอะไรที่ช่วยได้เหรอครับ"
"เวลาน้องเล่าความทุกข์ให้เพื่อนฟัง น้องอยากได้คำแนะนำเลยไหม"
"ก็คง...ไม่ครับ" น้องตอบด้วยความลังเล เหมือนไม่อยากตกหลุมพราง
"น้องว่าวันนี้คนไข้เค้าอยากได้คนรับฟัง หรือคำแนะนำ"
"เอ่ออ.... แต่ผมรู้สึกว่าผมยังไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลยครับ" ความลังเลยังคงอยู่
"ไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริง ๆ เหรอ"
"ครับ"
"ถ้าไปแนะนำให้เขาหางานทำเพิ่มเติม คิดว่าเขาจะทำตามไหม"
"ก็คงไม่ครับ"
"ถ้าแนะนำให้เขาปรับความเข้าใจกับครอบครัวเขา คิดว่าเขาจะทำไหม"
"ก็คงไม่ครับ"
"นี่เก่งมากเลยนะ แค่เจอคนไข้ครั้งแรกก็สร้างความเชื่อใจกับเค้าได้ แล้วเค้าระบายให้ฟังขนาดนี้"
"ครับอาจารย์ คุยเป็นชั่วโมงเลยครับ แต่ผมรู้สึกว่าผมยังไม่ได้ช่วยอะไรเค้าเลย"
"ที่น้องนั่งฟังเค้าไปชั่วโมงนึง คิดว่ายังไม่ช่วยอะไรอีกเหรอ"
"ยังเลยครับ"
"แล้วถ้าจะรู้สึกว่าได้ช่วย มันต้องเป็นยังไง" น้องแพทย์ประจำบ้านนิ่งเงียบไปหลายวินาที
"ผมอยากให้เค้าออกจากห้องไปแบบมีความสุข ปลดล็อก ปิ๊งเลย"
"คิดว่ามีคนทำแบบนั้นได้จริง ๆ เหรอ"
"ก็...ไม่น่ามีมั้งครับอาจารย์"
ในความเป็นหมอ เรามักเคยชินกับการรักษาทางกายที่ผลการรักษามักหายทันที ปลดล็อก หรือเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ เช่น การติดเชื้อที่หายขาด ตัวเลขความดันและค่าเลือดที่ดีขึ้น
การรักษาโรคทางกายที่ไม่ใช้ยาหรือการผ่าตัด ก็มักจะเป็นการให้ความรู้และคำแนะนำที่ภาษาแพทย์เรียกว่า Non-pharmacological treatment เรามักจะพ่นความรู้ให้คนไข้ว่าให้ทำ 1-2-3-4 ขั้นตอนนี้ ซึ่งจริง ๆ เขาก็อาจจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่หมอก็จะรู้สึกว่าได้พูดแล้ว ได้ช่วยแล้ว
แต่เวลารักษาเรื่องทางใจ มันไม่ได้มีการรักษาแบบนั้นที่หายทันที ปลดล็อกได้ทันที เช่น การรักษาโรคซึมเศร้าโดยการใช้ยายังต้องดูผลเป็นสัปดาห์ รักษากันเป็นเดือน ๆ
เวลาเพิ่งเริ่มฝึกการดูแลทั้งกายและใจ เรามักจะใช้ความเคยชินจากการรักษาเรื่องกายมาใช้กับเรื่องใจ หมออยากให้คนไข้หายทุกข์ อยากให้คนไข้สบายใจ สิ่งที่หมอบางคนชอบทำคือการสรรหาคำแนะนำมาบอกคนไข้ เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อนบ้าง ลองคุยกับคนในครอบครัวดูไหม หางานเพิ่มดูไหม ไปยื่นสิทธิผู้พิการไหม ขอลดหย่อนภาษีผู้อุปการะไหม คำแนะนำต่าง ๆ นานา เพื่อให้ตัวหมอเองรู้สึกว่าได้ทำอะไรแล้ว คนที่สบายใจขึ้นคือตัวหมอเอง
หลายครั้งเราก็พบว่า คนไข้ไม่ได้ทำตามที่เราบอกสักนิด แล้วพอคนไข้เล่าเรื่องเดิมก็จะเริ่มรู้สึกว่า คนไข้เล่าเรื่องเก่าวนซ้ำ ตอนหมอเหนื่อย บางคนอาจจะไปหงุดหงิดคนไข้ด้วยซ้ำว่า ทำไมยังไม่ปล่อยวาง ติดอยู่กับปม พอแนะนำอะไรไปก็ไม่เห็นทำ
การดูแลคนไข้แบบองค์รวม หรือดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ได้แปลว่าหมอต้องให้คำแนะนำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาด้านจิตใจ ซึ่งอาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการรับฟัง ฟังให้เข้าใจว่าเขามีชีวิตความเป็นอยู่ยังไง ทุกข์ยังไง ไม่ได้มองแค่ว่าเขาเป็นคนไข้ความดันคนหนึ่ง
การรับฟังสำคัญมากในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้ ในครั้งแรกอาจจะฟังเฉย ๆ หรือถ้าอยากถามให้เกิดประโยชน์ ก็อาจชวนคุยหาทรัพยากร (Resource) ดี ๆ ในตัวเขาและชีวิตเขา เช่น วิธีการรับมือกับปัญหาที่ผ่านมา (แล้วนี่คุณป้าผ่านเรื่องเยอะขนาดนี้มาได้ยังไงคะเนี่ย) คนอื่น ๆ ในชีวิตที่เป็นกำลังเสริมทั้งกายและใจ (แล้วคุณป้าเล่าให้ใครฟังบ้างมั้ยเรื่องนี้ คุยกับใครได้บ้างมั้ย) คำถามบางคำถามที่ดูเหมือนคุยไปเฉย ๆ ก็ทำให้เขาได้คิดทบทวน